หลักสูตร LL.M. Master Deutsches Recht ณ มหาวิทยาลัยบอนน์

อาคารบริหารแห่งมหาวิทยาลัยบอนน์
       
     ปี 2017 ผมได้เริ่มเข้าศึกษาในระดับชั้นปริญญาโททางด้านนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบอนน์ในภาคการศึกษาฤดูร้อน โดยได้เลือกแผนการศึกษาเน้นหนักไปทางด้านกฎหมายมหาชน อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและเอกชนในฐานะที่รัฐมีอำนาจเหนือกว่า จึงอยากจะบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรและมหาวิทยาลัยเก็บไว้เพื่อแบ่งปันให้กับผู้อื่นต่อไป

Kirschblüten หรือเทศกาลดอกเชอรี่บานอันโด่งดังของเมืองบอนน์
 เริ่มจากที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเป็นอันดับแรก มหาวิทยาลัยบอนน์ มีชื่อเต็มๆ ว่า   Die Rheinische Friedrich-Wilhelms-Universität Bonn ชื่อของมหาวิทยาลัยถูกตั้งตามชื่อของกษัตริย์ปรัสเซียนามว่า Friedrich Wilhelm ที่สาม เมืองบอนน์ตั้งอยู่ในมลรัฐ Nordrhein-Westfalen ที่อยู่ในฝั่งตะวันตกของเยอรมนีติดกับชายแดนเนเธอแลนด์ นักปรัชญาและนักการเมืองชาวเยอรมันหลายคนก็เคยได้มาศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เช่น นิชเช่ หรือ คาร์ล มาร์กซ หรือ คอนราด อเดเนาเออ มหาวิทยาลัยบอนน์ไม่ได้มีอาคารเรียนที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นCampusอย่างที่เราคุ้นชินกันในประเทศไทย แต่อาคารของมหาวิทยาลัยจะอยู่อย่างกระจัดกระจายกันไป บางอาคารอยู่ห่างจากตัวเมืองหลายกิโลเมตร แต่สำหรับคณะนิติศาสตร์นั้นถือว่าโชคดี เพราะตั้งอยู่ใกล้ๆกับตัวเมืองทำให้การเดินทางไม่มีปัญหาแต่อย่างใด 

  


                                               

   
Zerfifikat C1 ของสถาบันเกอเธ่

การสมัครเรียน ผู้สมัครต้องจบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิตที่มีระยะเวลาการศึกษาทั้งสิ้น 4 ปี หรือ 8 ภาคการศึกษา หรือจบปริญญาตรีในระยะเวลา 3 ปีครึ่งแต่มีคุณวุฒิเพิ่มเติม เช่น   ปริญญานิติศาสตรมหาบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายที่สามารถเติมเต็มเวลาที่ขาดหายไปให้ครบหรือมากกว่า 4 ปี ได้ จึงจะมีสิทธิสมัครเรียนในหลักสูตรปริญญาโทของมหาวิทยาลัยบอนน์ได้ บรรดาหลักฐานการสมัครก็จะประกอบด้วย หลักฐานการสำเร็จการศึกษา จดหมายแนะนำจากอาจารย์มหาวิทยาลัย 2 ฉบับ ประวัติส่วนตัว ผลการสอบวัดความรู้ภาษาเยอรมันระดับ C1 ของสถาบันเกอเธ่ (เทียบเท่า Ielts 7) หรือ TestDaf 4 หรือ DSH 2 เป็นอย่างน้อย ซึ่งการสอบ 3 รูปแบบนี้เป็นการสอบที่นักศึกษาไทยนิยมสอบกันมาก แต่ก็มีการสอบอื่นๆอีกที่เป็นที่ยอมรับ รายละเอียดจะอยู่ในระเบียบการสมัครของมหาวิทยาลัย หลักสูตรปริญญาโทนี้จะมีการเรียนการสอนทั้งในภาคการศึกษาฤดูหนาวและฤดูร้อน ผู้สมัครสามารถเลือกได้ว่าต้องการที่จะศึกษาในภาคการศึกษาใด
   
        ในเรื่องของแผนการศึกษา หลักสูตรปริญญาโทที่นี่อนุญาตให้เราสามารถเลือกเรียนกฎหมายด้านที่เราสนใจได้ 1 ด้านจาก 3 ด้าน คือ กฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชน และกฎหมายอาญา ทำให้เราสามารถเจาะลึกเพื่อศึกษาเฉพาะกฎหมายด้านที่เราต้องการศึกษาได้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะได้เรียนกฎหมายด้านที่ไม่ถนัด ในส่วนของแผนการศึกษาด้านกฎหมายมหาชน นักศึกษาสามารถเลือกที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งได้ 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือ กฎหมายปกครอง อีกด้านหนึ่งคือกฎหมายว่าด้วยรัฐ โดยนักศึกษาจะสามารถเลือกได้แค่ด้านเดียว ในภาคการศึกษาแรกนักศึกษาควรสอบวิชาพื้นฐานให้ผ่านให้หมด จากนั้นในภาคการศึกษาที่ 2 นักศึกษาก็สามารถเลือกเรียนกฎหมายด้านที่สนใจได้อีก 2 วิชา พร้อมด้วยการทำสัมมนาอีก 1 เรื่องในเรื่องที่สนใจ การทำสัมมนาคือการเขียนบทความในเรื่องที่ตัวเองสนใจ เมื่อส่งสัมมนาแล้ว 
ก็จะมีสิทธิเขียนวิทยานิพนธ์ ซึ่งการประเมินที่สำคัญที่สุดของหลักสูตรคือวิทยานิพนธ์ว่าจะได้สำเร็จการศึกษาในระดับพอใช้ ดี หรือดีมาก ส่วนผลการสอบวิชาที่ศึกษามาเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อให้มีสิทธิเขียนวิทยานิพนธ์เท่านั้น การสอบในวิชาต่างๆ จึงมีการสอบข้อเขียนก่อนเป็นอันดับแรก หากสอบตกก็สามารถสอบซ่อมด้วยการสอบปากเปล่าได้ 

     ในช่วงภาคการศึกษาแรกก็จะมีการดูแลจากมหาวิทยาลัยโดยจัดชั่วโมงการเรียนการสอนว่าด้วยระบบกฎหมายเยอรมันให้นักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ และจัดอบรมเกี่ยวกับการเขียนตอบข้อสอบ รวมถึงการเขียนสัมมนาและวิทยานิพนธ์ 

 การเรียนการสอนการเรียนการสอนก็จะประกอบด้วยชั่วโมงบรรยายและชั่วโมงทบทวน (Arbeitsgemeinschaft) ชั่วโมงบรรยายนั้นจะมีระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมงต่อครั้งเท่านั้น ชั่วโมงทบทวนก็เช่นเดียวกัน ในชั่วโมงบรรยายProfessor มักจะมีคำถามออกมาถามนักศึกษาเรื่อย ๆ ซึ่งนักศึกษาชาวเยอรมันก็จะยกมือตอบกันบ่อย ๆ จะผิดหรือถูกไม่ว่ากัน สำหรับชาวเอเชียอย่างเราก็อาจจะไม่คุ้นชินนัก เพราะเรามักจะถือคติที่ว่า ก็เราไม่รู้ไงเราถึงต้องมาเข้าเรียน แล้วมาถามอะไรในเรื่องที่เราไม่รู้กันเล่า 
ปัดโถ่ แต่บางเรื่องที่เราเรียนมาจากไทยแล้วต้องมานั่งเรียนกับนักศึกษาปี 1 ของเยอรมัน พอฟังคำตอบของนักศึกษาเหล่านั้นแล้วเราก็อาจจะนึกขำๆในใจว่า ฉันรู้นะว่าคำตอบคืออะไร แต่เรียบเรียงออกมาเป็นภาษาเยอรมันไม่ได้ ในชั่วโมงทบทวนก็จะมีการถกเถียงกันไปพร้อมๆกับการฝึกแก้ไขปัญหาในทางกฎหมายที่อาจปรากฏในข้อสอบ ในช่วงแรกๆ การฟังบรรยายอาจจะมีปัญหาบ้างเพราะไม่ชินกับคำศัพท์ในทางวิชาการ และสำเนียงของผู้สอน แต่เมื่อฟังบ่อยๆเข้าก็จะทำให้เราปรับตัวได้เอง ระยะเวลาการเรียนการสอนในภาคการศึกษาหนึ่งๆนั้นสั้นมาก เช่น เปิดภาคการศึกษาในเดือนเมษายน ในช่วงเดือนกรกฎาคมก็ต้องสอบแล้ว แต่ในการสอบนั้นเราสามารถนำตัวบทกฎหมายเข้าไปเปิดดูเพื่อใช้ในการตอบข้อสอบได้ ซึ่งแตกต่างจากระบบการสอบของไทย

       
ตัวอย่างถ้อยคำหนังสือคำอธิบายเกี่ยวกับระบบกฎหมายเยอรมันอย่างง่ายจากหนังสือ Einführung
in das deutsche Recht und die deutsche Rechtssprache 
ตำราอ่านประกอบการศึกษา วรรณกรรมทางกฎหมายที่ใช้ประกอบการเรียนที่นี่จะแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ 
Lehrbuch เป็นหนังสือคำอธิบายในทางทฤษฎีอย่างที่เราคุ้นเคยกันในการเรียนนิติศาสตร์ในไทย
Kommentar เป็นคำอธิบายกฎหมายรายมาตราพร้อมตัวอย่างประกอบ ใช้สำหรับการหาคำตอบของคำถามใดคำถามหนึ่งที่เราต้องการรู้อย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ความหมายของคำว่าที่อยู่อาศัยตามรัฐธรรมนูญ ว่ากินความถึงบริเวณใด
Zeitschrift วารสาร ก็คล้ายๆกับวารสารนิติศาสตร์ที่จะมีบทความในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
 Handbuch เป็นคู่มือทางกฎหมายต่างๆที่ไว้ใช้
ในทางปฏิบัติ เช่น คู่มือกฎหมายแรงงาน

          คุณวุฒิในระดับ LL.M. นั้นไม่เทียบเท่าการเป็นนักกฎหมายในเยอรมัน นั่นหมายความว่าหลังจบการศึกษาเราไม่สามารถประกอบอาชีพเป็นนักกฎหมายในเยอรมนีได้ เพราะการที่เราจะประกอบอาชีพนักกฎหมายอย่างเต็มตัวนั้นจะต้องผ่าน
การสอบ Staatsexamen I และ Staatsexamen II ซึ่งจะต้องผ่านการเรียนที่มีระยะเวลานานกว่าและรายวิชาที่ต้องศึกษามากกว่าในระดับ LL.M. และยังต้องผ่านการฝึกงาน ในองค์กรฝ่ายปกครอง องค์กรอัยการ ศาล และสำนักงานทนายความอีกด้วย 
     
 
     ตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา XD เท่าที่สำรวจดูแล้ว หลายๆคนไม่อยากมาเรียนที่เยอรมนีเพราะเรื่องของภาษา ภาษาเยอรมันขึ้นชื่อได้ว่าเป็นภาษาที่ยากที่สุดภาษาหนึ่ง แต่จริงๆแล้วภาษาเยอรมันไม่ได้ยากจนเรียนไม่ได้หรือเข้าใจไม่ได้ ผมเองก็เรียนภาษาเยอรมันได้ไม่นาน ผมเริ่มเรียนกับ CPG ก็เมื่อตอนรู้ตัวว่าได้ทุน ก็เรียนแค่สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 3 ชั่วโมง ก็เรียนแค่ 2 เทอม หลังเรียนจบก็ไปเรียนกับเกอเธ่อีก 1 เดือน จนจบระดับ A1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด พอเข้าทำงานผมก็เริ่มเรียนระดับ A2 ซึ่งก็เรียนแค่สัปดาห์ละ 1 วัน 3 ชั่วโมงเท่านั้น ก็เรียนไปจนถึงระดับ B1.3 ก็เดินทางมาศึกษาต่อ เชื่อไหมว่า ผมมาเริ่มเรียนภาษาเยอรมันที่สถาบันเกอเธ่ประจำเมืองบอนน์ที่ระดับ A2.2 ซึ่งเกือบจะเท่ากับการเริ่มใหม่ ในระยะเวลา 1 ปีที่เรียนอยู่ ผมก็ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ จนถึงระดับ C1 จนสอบผ่านได้ และฟังการบรรยายในห้องรู้เรื่อง (ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ -*-) กฎหมายเยอรมันหลายๆเรื่องน่าสนใจมาก และหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ควรมีในไทยแต่็ยังไม่มีสักทีเพราะยังไม่มีคนมาศึกษาจริงจัง ถ้าสนใจระบบกฎหมายเยอรมันก็สอบถามได้เสมอนะ 
         
นิติกร ชัยวิเศษ
Nitikorn Chaiwiset


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การสอบปากเปล่าวิทยานิพนธ์ที่มหาวิทยาลัยบอนน์

Gutachtenstil การเขียนตอบข้อสอบกฎหมายแบบเยอรมัน